Original Article: The Standard

แม้ว่าเราได้เคยลิ้มชิมรสชาติอาหารจากเชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร แห่ง Le Du มาบ้าง แต่ครั้งนี้ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เราจะได้กินอาหารที่ทำจาก Plant-Based Meat หรือเนื้อสัตว์จากพืช โดยฝีมือเชฟต้นที่เอ่ยปากว่า ถ้าวัตถุดิบไม่อร่อยจริง ในฐานะคนเป็นเชฟไม่เอามาทำอาหารแน่นอน

ก่อนอื่นต้องเล่าให้ฟังก่อนว่า Plant-Based Meat ได้กลายเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงไปทั่วโลก (คลิกอ่าน ชาวมิลเลนเนียลกำลังสร้างกองทัพเด็กยุคใหม่ที่กินแต่เนื้อจากพืชกันอยู่หรือเปล่า?) นับตั้งแต่ที่เราเคยนำเสนอเนื้อสังเคราะห์ไปเมื่อปีก่อน ตอนนั้นเราเองก็คิดว่าเนื้อประเภทนี้น่าสนใจและปรารถนาดีต่อโลก แต่ก็คงต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะเดินทางมาถึงชาวไทย แต่ไม่คิดว่าเวลาพักใหญ่จะมาถึงเร็วขนาดนี้ เมื่อกระแสกินเนื้อจากพืชได้รับความนิยมอย่างสูงในต่างแดน หลังมีผู้ผลิตหลายเจ้าวางจำหน่ายสินค้าประเภทนี้ ทั้งในรูปแบบการขายปลีกที่ผู้บริโภคอย่างเราๆ สามารถเลือกซื้อไปปรุงเองที่บ้านได้ หรือดีลกับร้านอาหารต่างๆ เพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในเมนูอาหาร ซึ่งมีให้เห็นตั้งแต่ร้านหรูเรื่อยไปจนถึงแฟรนไชส์ใหญ่ๆ เช่น แมคโดนัลด์ เบอร์เกอร์คิง หรือเคเอฟซี

แต่เมื่อมาดูบ้านเรา ตลาด Plant-Based Meat เรียกได้ว่า ‘ได้ยินแต่คนพูดถึง แต่ยังไม่เคยเห็นจริงๆ จังๆ สักที’ จนล่าสุดมีบริษัทจากประเทศฮ่องกงบินเข้ามาทำตลาดในไทย โดยนำผลิตภัณฑ์ของเขาในชื่อ OmniMeat (ชื่อนี้ใช้เฉพาะในเมืองไทย) มาวางจำหน่ายในบ้านเราด้วย หลังในฮ่องกงเปิดร้านวางขายเป็นเรื่องเป็นราว โดยไม่ได้เจาะตลาดแค่กลุ่มคนกินวีแกนหรือมังสวิรัติเท่านั้น หากแต่ยังหมายรวมถึงการบริโภคเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และลดการขาดแคลนเนื้อสัตว์ในอนาคตอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ

และครั้งนี้ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราได้พูดคุยกับเชฟต้น ถึงที่มาของการร่วมมือกันในครั้งนี้ของเชฟและออมนิมีท

“มีคนรู้จักมาถามว่าสนใจเนื้อที่ทำจากพืชไหม ซึ่งเมื่อก่อนผมไม่ค่อยสนใจอาหารมังสวิรัติ เพราะผมเองเป็นคนไม่กินมังสวิรติ เลยบอกว่าไม่แน่ใจ ขอชิมก่อนว่าอร่อยหรือเปล่า เพราะสิ่งสำคัญของเชฟคือต้องอร่อย เพราะต่อให้ไม่อร่อย จะดีต่อสุขภาพแค่ไหนมันก็กินไม่ได้ มันไม่ใช่อาหาร แต่พอกินแล้วพบว่าไม่เหมือนกับที่เราเคยเจอมา ไม่เหมือนโปรตีนเกษตรที่มีกลิ่นเฉพาะตัวค่อนข้างแรง เอาไปทำอาหารแล้วอร่อยได้ยาก ผมเลยขอตัวอย่างมาลองชิมและทำหลายๆ เมนูแทนเนื้อหมูและเนื้อไก่ ปรากฏว่าเออ อร่อย กินได้ มันไม่ทำให้อาหารจานนั้นด้อยรสชาติลง ยังคงอร่อยเหมือนเดิม” เชฟกล่าว

มาถึงส่วนสำคัญอย่างเมนูอาหารที่ได้ลองในวันนี้ มีทั้งหมด 9 เมนู ซึ่งล้วนเป็นเมนูพื้นๆ ที่คุ้นลิ้นคนไทย เพราะที่ผ่านมาเราเห็นฝรั่งเอาเนื้อที่ทำจากพืชไปทำอาหารตะวันตกกันก็เยอะแล้ว เชฟจึงอยากทำเป็นเมนูไทยๆ ที่สามารถกินได้กับข้าวสวยร้อนๆ โดยที่คนไทยไม่รู้สึกว่า “นี่ เรากำลังกินเนื้ออะไรอยู่”

เชฟเล่าว่า แม้เนื้อจะไม่ใช่เนื้อสัตว์จริง แต่ด้วยความใกล้เคียงทางรสชาติ หน้าตา และผิวสัมผัส ทำให้เชฟต้นสามารถปรุงอาหารได้เหมือนเนื้อจริง ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการทอด ผัด ต้ม นึ่ง หรือยำ รวมถึงความแรงของไฟที่ใช้ ระยะเวลาในการทำ สัดส่วน และปริมาณต่างๆ แทบไม่ต่างจากการหยิบเนื้อสัตว์จริงมาใช้เลย แม้เชฟจะทำทั้งหมด 9 รายการ แต่เราขอยกมาเฉพาะจานที่กินแล้วรู้สึกเซอร์ไพรส์ในรสชาติและรสสัมผัสมากที่สุด

กะเพราออมนิมีท

จานนี้มีความหอมของใบกะเพรา และความเผ็ดร้อนโชยออกมาชัดเจน หน้าตาดูเป็นกะเพราที่ไม่ผิดระเบียบ เพราะไม่ใส่ผักอื่นใดมารบกวนจิตใจ เมื่อตักชิมคำโตๆ รสสัมผัสที่ได้ไม่ต่างจากหมูจริง มีความนุ่ม เป็นชิ้นเป็นอันเหมือนหมูสับจริงๆ กินคู่กับข้าวสวยอร่อยมาก

หมูทอดทรงเครื่อง

จุดเริ่มต้นของจานนี้เกิดจากเชฟที่ชื่นชอบหมูก้อนเป็นทุนเดิม เลยอยากทำเมนูที่น่าจะถูกปากคนที่ไม่กินเผ็ด ตัวเนื้อถูกปั้นเป็นก้อนก่อนนำไปทอดให้กรอบนอกนุ่มใน มาในขนาดพอดีคำ ตักน้ำจิ้มเปรี้ยวหวานราดเล็กน้อย เมื่อกัดลงไปเจอความเด้งแต่ไม่ถึงขั้นเด้งเหมือนลูกชิ้น แต่ก็ไม่เหมือนเนื้อหมูที่เราจะสัมผัสถึงความกระด้างเล็กน้อย ออกไปทางหมูนุ่มมากกว่า

ออมนิมีทผัดกระเทียมพริกไทย

นับเป็นจานที่หลายคนในโต๊ะชื่นชอบ เพราะเชฟผัดด้วยการใส่กระเทียมและพริกไทยอย่างหนักมือ รสชาติจึงค่อนข้างเผ็ดพริกไทย แต่ก็มีความหอมของกระเทียมช่วยเสริมมิติ เนื้อผัดมาจนร่วนแห้งคล้ายหมูที่ถูกสับจนละเอียด ตักกินคำโตๆ ได้เลยสำหรับจานนี้

แกงจืดเต้าหู้หมูหมัก

หน้าตาเป็นแกงจืดเต้าหู้ที่ใส่ทั้งผักกาด เห็ดหอม เห็ดฟาง แครอท และที่ขาดไม่ได้คือออมนิมีทที่ผ่านการหมักมาแล้ว ผิวสัมผัสนุ่ม ไม่เหนียวหรือแข็งจนเกินไป น้ำแกงรสดี ซดคล่องคอ

ลาบออมนิมีท

จานเด็ดที่ต้องยกให้เรื่องความถึงเครื่องในรสชาติที่จัดจ้านสมเป็นลาบ หากใครชอบลาบที่ค่อนข้างแห้ง ไม่ขลุกขลิกหรือมีน้ำลาบเยอะน่าจะชื่นชอบจานนี้ เพราะเนื้อถูกนำไปคลุกเคล้าเครื่องอย่างเข้ากัน ปรุงสุกกำลังดี ไม่แข็งหรือนุ่มเกิน เมื่อกินคู่กับข้าวคั่วและหอมแดงซอย ถ้าไม่บอกคงเดาไม่ถูกว่าไม่ใช่เนื้อจริง

บทสรุปทางรสชาติ

จากคนที่ไม่ชอบรสชาติและส่วนผสมของโปรตีนเกษตร การได้รู้ว่าเมืองไทยจะมีทางเลือกใหม่สำหรับสายที่ไม่บริโภคเนื้ออย่างออมนิมีท จึงถือเป็นวัตถุดิบที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะนอกจากส่วนผสมที่ทำจากถั่วต่างๆ ข้าว และเห็ดแล้ว ออมนิมีทยังมอบโปรตีนสูงถึง 17 กรัม ต่อการบริโภค 100 กรัม ซึ่งถือเป็นปริมาณโปรตีนที่ไม่น้อยเลยทีเดียว และด้วยรสชาติหลังการปรุงที่ใกล้เคียงเนื้อสัตว์จริงมาก ทำให้เราไม่รู้สึกว่ากำลังกินแป้งอยู่ สามารถนำไปปรุงเป็นเมนูได้หลากหลายคล้ายเนื้อสัตว์จริง ติดตรงที่ว่าออมนิมีทยังไม่สามารถมอบกลิ่นที่เหมือนเนื้อจริงๆ (แต่ก็ไม่มีกลิ่นเหมือนโปรตีนเกษตรอย่างที่เชฟบอก) บวกกับการเป็นวัตถุดิบที่แทบจะไม่มีไขมันแทรก แม้จะใส่เห็ดที่ช่วยเพิ่มความนุ่มคล้ายไขมันมาด้วยก็ตาม ทำให้คนที่ชอบกินอาหารมันๆ หรือเนื้อติดมันอาจขัดใจอยู่บ้าง แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบอาหารมันย่อง เรื่องนี้ย่อมไม่ใช่ปัญหา และคอนเฟิร์มอีกครั้งว่า เนื้อสังเคราะห์นั้นไม่เหมือนโปรตีนเกษตรอย่างแน่นอน ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนที่อยากสลับมากินวัตถุดิบรักษ์โลกบ้าง เพราะคงไม่ต้องถึงขั้นเลิกกินเนื้อสัตว์ถ้าจะเป็นการทรมานตัวเองเกินไป แต่ถ้าลดๆ ลงบ้างก็คงดี